วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ด่วน!!! พบช่องโหว่ใหม่ใน Windows 7

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) กำลังตรวจสอบรายงานแจ้งช่องโหว่ที่พบในส่วนอินเตอร์เฟซของ Windows 7 โดยข้อมูลที่มีการเปิดเผยจากทางบริษัท ช่องโหว่ดังกล่าวจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับชอร์ทคัต (shortcut) ที่ทำให้เกิดการตีความของคำสั่งไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ทำให้ระบบปฏิบัติการอนุญาตให้รันโค้ดอันตรายได้
พื้นที่โฆษณา

"สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ปิด (disabled) การทำงานของคำสั่ง AutoPlay แล้ว ลูกค้าจะโดนเล่นงานผ่านช่องโหว่ดังกล่าวก็ต่อเมื่อสืบค้น (browse) เข้าไปยังโฟลเดอร์ราก (root folder) ของไดรฟ์ยูเอสบี หรือฮาร์ดดิสก์แบบใช้ภายนอก ช่องโหว่ของระบบจึงจะทำงานได้ ซึ่งปกติ ฟังก์ชัน AutoPlay ของ Windows 7 สำหรับอุปกรณ์สตอเรจที่ต่อทางพอร์ตยูเอสบี (USB devices) จะถูกปิดการทำงานโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว" แม้จะฟังดูเหมือนพีซีที่ใช้ Windows 7 จะปลอดภัย เนื่องจากชอร์ทคัตอันตรายไม่ถูกเรียกทันทีที่เสียบอุปกรณ์ยูเอสบีด้วยคำสั่ง AutoPlay แต่ Graham Cluley นักวิจัยจาก Sophos บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยเตือนว่า การโจมตีสามารถเริ่มต้นได้โดยอัตโนมัติผ่านทาง Windows Explorer แม้จะปิดการทำงานของฟังก์ชัน AutoRun และ AutoPlay แล้วก็ตาม

"โอกาส ที่ผู้ใช้ Windows 7 จะถูกโจมตีด้วยช่องโหว่ดังกล่าวเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ ผ่านมา เมื่อแฮคเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า Ivanlef0u ได้เผยแพร่ชุดคำสั่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว (proof-of-concept code) ออกไปบนเน็ต ประเด็นที่น่ากังวลก็คือ แฮคเกอร์ที่ไม่หวังดีคนอื่นๆ อาจกำลังพยายามใช้ช่องโหว่ดังกล่าวก็ได้" Cluley โพสต์ไว้ในบล็อกของ Sophos "ในอดีตเราพบหนอนไวรัส (ตัวอย่าง Conficker ที่ดังมาก) สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านทางอุปกรณ์ยูเอสบี ทำให้หลายๆ บริษัทต้องสั่งให้ฝ่ายไอที disable การทำงานของคำสั่ง AutoPlay ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องเสียงมาก หากเกิดมัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่ที่พบในขณะนี้ ซึ่งยังไม่มีแพตช์ออกมาแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด" อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ยันยันว่า ช่องโหว่ที่ตรวจสอบอยู่นี้มีโอกาสที่ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้ในการแพร่กระจายมัลแวร์ หรือรูทคิทผ่านทางอุปกรณ์ยูเอสบีได้

ข้อมูลจาก: Channelweb

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จอบส์รับปัญหา iPhone 4 แจกซองฟรี!!!

รายงานข่าวล่าสุด สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ออกแถลงขอโทษ และยอมรับในความผิดพลาดสำหรับปัญหาทีเกิดขึ้นกับ iPhone 4 ในขณะเดียวกันก็พยายามอธิบายข้อเท็จจริงของปัญหาอีกครั้ง พร้อมทั้งเสนอให้ฟรีซองกันกระแทก (Bumper Case) ใส่ iPhone 4 ให้กับลูกค้าฟรี!!!

ในที่สุด สตีฟ จอบส์ ซีอีโอของแอปเปิ้ลก็ออกมาอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นกับ iPhone 4 พร้อมทั้งขอโทษ และให้ฟรีซองใส่กันกระแทก โดยในการออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ จอบส์ได้นำเสนอพร้อมกับสไลด์ และสถิติ จอบส์ยังคงพยายามชี้ให้สื่อมวลชน และผู้สนใจเห็นว่า ปัญหาสัญญาณจากเสาอากาศหด (Antennagate) บน iPhone 4 เป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งมีผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นกับมือถือแทบทุกเครื่อง และประเด็นหนึ่งที่จอบส์มักจะกล่าวถึงก็คือ เจ้าของ iPhone 4 ส่วนใหญ่ไม่ได้บ่นเรื่องนี้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม แอปเปิ้ลจะให้ซองป้องกันฟรีสำหรับเจ้าของ iPhone 4 ที่ต้องการ ซึ่งข้อเสนอนี้ หมายถึงการที่ Apple อาจจะต้องควักเงินสูงถึง 178 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของรายได้ทั้งปี) แต่หากเทียบกับการเรียกคืน (recall) iPhone 4 ทังหมด ทางบริษัทอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญฯ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว

ในการแก้ต่างสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับ iPhone 4 จอบส์กล่าวว่า มีเพียง 2% ของผู้ซื้อที่ขอคืน iPhone 4 หรือคิดเป็นหนึ่งในสามของไอโฟนรุ่นก่อนหน้านี้ รวมถึงกรณีปัญหาสายหลุดด้วย (iPhone 4 มีปัญหาสายหลุดน้อยกว่ารุ่นก่อน?) จอบส์ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาสายหลุดสัญญาณขาดหายของ iPhone 4 ยังเกิดขึ้นเป็นส่วนน้อยมาก โดยข้อมูลดังกล่าวได้รับมาจาก AT&T ผู้ให้บริการเครือข่ายรายเดียวของแเอปเปิ้ล

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การแถลงข่าวเมื่อวานนี้มีการพูดถึงน้อยมากสำหรับปัญหาเกี่ยวกับเสาอากาศที่ แสดลงสัญญาณลดลง หรือหายไปเมื่อผู้ใช้ถือมันด้วยวิธีปกติ ก่อนหน้านี้ แอปเปิ้ลแนะนำผู้ใช้ให้หลีกเลี่ยงวิธีถือ iPhone 4 ด้วยวิธีดังกล่าว หลังจากนั้นอ้างว่าเป็นข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์ที่แสดงผลสัญญาณแรงกว่าความ เป็นจริง เรื่องราวของปัญหาดังกล่าวถูกยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อสัปดาห์นี้ นิตยสาร Consumer Reports กล่าวว่า ไม่แนะนำให้ใช้ iPhone เนื่องจากมีข้อผิดพลาดในเรื่องของการออกแบบของเสาอากาศ และเมื่อวานนี้อีกเช่นกันทีทางนิตยสารออกมาบอกว่า แอปเปิ้ลควรให้ซองฟรีกับผู้บริโภคจะเป็นการดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหานี้ใน ขั้นต้น

นักวิเคราะห์มองว่า การนำเสนอที่ตรงไปตรงมาของจอบส์จะทำให้บริษัทยังคงได้รับการยอมรับจากสื่อ มวลชน และผู้บริโภค "เขาทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว" Tim Bajarin ประธานบริษัทวิจัยเทคโนโลยี Creative Strategies Inc. "เขาอธิบายทีมาที่ไปของปัญหา และให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา" จอบส์ยอมรับว่า วิศวกรของบริษัทไม่ได้ทำผิดในเรื่องนี้ "เราเป็นมนุษย์ปถุชน และเราก็ทำผิดได้ในบางครั้ง" จอบส์ กล่าว "เราไม่ได้รู้ในทุกสิ่่ง แต่เราพยายามแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด และเราดูแลลูกค้าของเราทุกคน ลูกค้าบางรายมีปัญหากับ iPhone 4 และ ผมต้องขอโทษพวกเขาด้วย..."

ใน รายละเอียดของการให้ซองฟรี จอบส์กล่าวว่า ทางบริษัทจะให้ซอง Bumper Case กับผู้ที่ซื้อ iPhone 4 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน และลูกค้าคนใดที่ซื้อซองกับ Apple ไปแล้ว ก็สามารถขอเงินคืนได้ โดยทางบริษัทยังคงมีแผนที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างถาวรต่อไป "เราได้ยินผู้คนมากมายบอกว่า ทำไมไม่แจกซองกับทุกคนไปเลยล่ะ?" จอบส์กล่าว "ตกลง ได้เลย เราจะให้ซองกับทุกคน" นอกจากนี้ จอบส์ยังย้ำถึงการแก้ปัญหาแสดงแท่งสัญญาณผิดด้วยการแนะให้อัพเกรดเป็น iOS 4.0.1 ด้วย อย่างไรก็ดี ในการนำเสนอพรีเซนเทชั่นบางส่วนของจอบส์ มีการแสดงให้เห็นว่า สมาร์ทโฟนของเจ้าอื่นๆ ก็ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันได้ โดยจอบส์กล่าวว่า เราสามารถพบวิดีโอสาธิตผลกระทบทีคล้ายกันกับมือถือจาก HTC, Samsung และ BlackBerry ได้มากมายบนอินเทอร์เน็ต

ข้อมูล จาก: inquirer

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Sony NEX-VG10 แฮนดี้แคมเปลี่ยนเลนส์ได้

หลังจากที่โซนี่ (Sony) เปิดตัว NEX-5 และ NEX-3 กล้องถ่ายรูปดิจิตอลเปลี่ยนเลนส์แบบกล้อง DSLR จนผู้ทดลองใช้ที่ได้มีโอกาสทดลองสัมผัส หรือเป็นเจ้าของกล้องรุ่นนี้ในงาน COMMART X'Gen 2010 ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เล็กแต่เยี่ยมมาก ล่าสุดทาง Sony เดินเกมส์รุกต่อความสำเร็จด้วยการออก Handycam NEX-VG10 กล้องถ่ายวิดีโอแบบแฮนดี้แคมที่มาพร้อมกับ E-mount สามารถเปลี่ยน"เลนส์"ได้...ว้าว!!!

ข้อมูลจาก Sony ระบุว่า NEX-VG10 เป็นกล้องแฮนดี้แคมที่บันทึกวิดีโอคุณภาพระดับ Full-HD โดยเป็นการรวมตัวของเทคโนโลยี DSLR กับกล้องบันทึกวิดีโอขนาดเล็ก ซึ่งจะว่าไปมันคือคอนเซปต์ในสายผลิตภัณฑ์ NEX นั่นเอง ดังนั้นคุณสมบัติหลายๆ อย่างใน NEX-VG10 จะคล้ายกับกล้องถ่ายรูปดิจิตอลที่ออกมาก่อนหน้านี้ อย่างเช่น เซ็นเซอร์รับภาพขนาด ASP-C ความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซล (เหมือนใน NEX-5) นั่นหมายความว่า NEX-VG10 สามารถบันทึกภาพนิ่งที่ความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซล และบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ 1080p (1,920 x 1,080 พิกเซล) ตัวแฮนดี้แคมสามารถใช้ A-mount และเลนส์แบรนด์อื่นๆ กับ LA-E1 หรืออะแดปเตอร์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้ด้วย

และผลจากการที่มันสามารถใช้ เลนส์คุณภาพทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์รับภาพที่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้ผู้ใช้สามารถบันทึกภาพยนต์ที่ใช้เอฟเฟกต์ชัดลึก หรือชัดตื้นได้ แถมยังสามารถถ่ายวิดีโอในมุมมองใหม่ๆ ผ่าน LCD 3 นิ้วที่หมุนได้รอบทิศ หรือวิวไฟน์เดอร์ (viewfinder) อิเล็กทรอนิกส์ที่หมุนได้รอบแกน VG10 สนับสนุนการใช้การ์ดหน่วยความจำ Memory Stick และ SD/SDHC นอกจากนีั้ตัวแฮนดี้แคมยังมาพร้อมกับไมโครโฟนสเตอริโอ ซึ่ง Sony เรียกว่า Quad Capsule Array Stereo Microphone สามารถรับเสียงที่มาจากทิศทางต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเสียงที่เข้ายังไมค์จะผ่านอัลกอริธึมประมวลผล เพื่อให้ได้เสียงที่ชัดเจนที่สุด Sony Handycam NEX-VG10 จะมาพร้อมกับเลนส์ซูม 18-200mm F3.5-6.3 OSS วางตลาดในประเทศแถบเอเซียแปซิฟิกช่วงเดือนสิงหาคมศกนี้ที่สนนราคา 1,999 เหรียญฯ (ประมาณ 65,000 บาท)

ข้อมูล จาก: ubergizmo

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผู้ใช้เกือบ 50% เลือก Win 7 รุ่น 64 บิท

นับเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้วที่โพรเซสเซอร์ 64 บิทอุบัติบนโลกใบนี้ และ 5 ปีแล้วที่เรามีระบบปฏิบัติการ Windows XP x64 วางตลาด แต่ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ประโยชน์จาก 64 บิทกลับไม่ค่อยได้พบเห็นเท่าที่ควร ส่วนใหญ่ยังคงยึดติดอยู่กับ 32 บิท ข้อเท็จจริงที่ควรทราบก็คือ แม้แต่ Vista เองก็ยังมีการใช้เวอร์ชัน 64 บิทแค่ 11% เท่านั้น

สำหรับเหตุผลที่ทำให้สถาปัตยกรรม และการใช้คอมพิวเตอร์ที่ 64 บิทไม่เกิดในช่วงที่ผ่านมาก็คือ มันขาดซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการใช้งานนั่นเอง โดยเฉพาะโปรแกรมยอดนิยมส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำงานในสภาพแวดล้อม 64 บิทได้อีกด้วย ส่วนเหตุผลอื่นๆ ก็จะมีเรื่องของการอัพเกรดที่ผู้ใช้พีซีต้องการความเร็วในการอัพเกรดมากกว่า ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ทางเลือกจึงยังเป็น 32 บิท แต่ล่าสุด ไมโครซอฟท์รายงานเมื่อเดือนมิถุนายนทีผ่านมาว่า 46% ของผู้ใช้ Windows 7 ทั่วโลกเลือกใช้เวอร์ชัน 64 บิท

สถาปัตยกรรม 64 บิทจะมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย และการทำงานในระบบสเมือน (virtualization) ที่เหนือกว่า 32 บิทมาก แต่ดูเหมือนเรื่องความสามารถในการมองเห็นหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุด ระบบที่เป็น 32 บิทจะสามารถใช้หน่วยความจำได้ไม่เกิน 4GB ในขณะที่ Windows 7 เวอร์ชัน 64 บิทจะสามารถรองรับหน่วยความจำได้สูงถึง 192GB แน่นอนว่า มันยังคงมีปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดอื่นๆ อยู่ด้วย อย่างเช่น ราคา และความจุสูงสุดของหน่วยความจำ แต่ด้วยความต้องการใช้ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความต้องการหน่วยความจำมากขึ้น ประกอบกับการใช้งานแบบมัลติทาสกิง ความต้องการหน่วยความจำจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็นไปโดยปริยาย

หากแจกแจง ในรายละเอียด คอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 7 x64 ส่วนใหญ่จะเป็น OEMs โดยข้อมูลจาก Stephen Baker ได้ทำสำรวจร้านค้าปลีกพีซีในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังพบอีกด้วยว่า เครื่องส่วนใหญ่ที่วางจำหน่าย 77% มาพร้อมกับ Windows 7 x64 อีกทั้งในกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นองค์กรธุรกิจต่างก็มีแนวโน้มที่จะขยับไปใช้ สถาปัตยกรรม 64 บิทอีกด้วย โดยคาดว่าในปี 2014 การใช้ Windows 7 x64 จะเพิ่มขึ้นเป็น 77% โลกกำลังใกล้เข้่าสู่ยุคของการประมวลผลที่ 64 บิทเต็มตัวแล้ว

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะลึง!!! UFO โผล่ในจีนจนต้องปิดสนามบิน

สนาบินในจีนต้องปิดทำการหลังจากพบเห็นวัตถุลึกลับลักษณะเป็นจุดสว่าง เคลื่อนที่เป็นแนวโค้งด้วยความเร็วสูงบนเหนือน่านฟ้ามณฑลเจ้อเจี้ยงเมืองหัง โจว ยานบินลึกลับ หรือ UFO ที่ปรากฎขึ้นมาให้เห็นบนท้องฟ้าจะมีลักษณะเป็นแสงสีขาวสว่างวาบดูน่าสะพรึง กลัว โดยเมื่อเคลื่อนที่ผ่านไปแล้วแสงสีขาวจะยังทอดเป็นหางยาว

สนาม บินเสี่ยวเซินถูกสั่งปิดหลังจากมีการตรวจพบ UFO ช่วงประมาณสามทุ่มตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ต้องมีการเปลี่ยนเส้นทางหลายเที่ยวบิน แสงสว่างลึกลับมีขนาดใหญ่ขึ้น และเคลื่อนที่กวาดแสงเป็นวงกว้างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งปลุกให้ประชาชนในเมืองต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น พยานผู้เห็นเหตุกาณ์รายงานว่า มันดูคล้ายดาวหางที่มีลักษณะเหมือนลูกไฟในท้องฟ้า แถมยังถ่ายรูปไว้ได้ด้วย

พนักงาน ขับรถประจำทางเล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นวัตถุลึกลับที่มีขนาดใหญ่บนท้องฟ้าช่วงบ่ายวันพุธ "วัตถุที่เห็นเคลื่อนทีเร็วมากจนดูเหมือนมันกำลังหนีบางสิ่งบางอย่าง" สำหรับเที่ยวบินขาเข้าถูกเปลี่ยนเส้นทางไปลงสนามบินใกล้เคียงในขณะที่เที่ยว บินขาออกเลื่อนเวลาออกไป 3 - 4 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญในจีนอ้างว่า สิ่งที่เห็นแท้จริงแล้วเป็นจรวดมิสไซล์ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทางการจีนประกาศในภายหลังว่า พวกเขาทราบดีว่าวัตถุที่เห็นบนท้องฟ้านั้นคืออะไร แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องของกองทัพฯ สำหรับการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการคงต้องติดตามกันต่อไป

ข้อมูลจาก: gizmodo

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 เหตุผลที่พีซียังคงอยู่


วานนี้ Neil McAllister ได้ลงบทความที่น่าสนใจชื่อว่า '10 เหตุผลที่พีซีจะยังคงอยู่ต่อไป' (10 Reasons Why the PC Is Here to Stay) บนเว็บไซต์ Infoworld ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจดีเลยจะขอสรุปมาให้ได้อ่านกันในบทความนี้นะครับ

โดย McAllister ได้เริ่มต้นบทความของเขาด้วยการอ้างอิงถึงคำพุดที่ Steve Jobs เคยกล่าวไว้ตอนงาน D8 Conference ที่จัดโดย the Wall Street Journal เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีซึ่ง Jobs ได้เปรียบเปรยว่าในปัจจุบันพีซีนั้นเหมือนกับรถบรรทุก ซึ่งเราไม่ต้องการมันมากเหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว แต่สิ่งที่จะมาแทนที่มันนั้นคืออุปกรณ์เช่น iPad ซึ่งใช้งานง่ายกว่า และสะดวกสบายกว่าด้วยระบบสัมผัส อีกทั้ง Jobs ยังอ้างด้วยว่าเรากำลังเข้าสู่ 'ยุคหลังพีซี' (post-PC era)

อย่างไรก็ตาม McAllister ได้โต้แย้งถึงคำกล่าวอ้างของ Steve Jobs ด้วยเหตุผล 10 ข้อดังต่อไปนี้

1.แท็บ เล็ตไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด

McAllister แย้งว่า ถึงแม้ Apple จะอ้างว่า iPad ของตนนั้นเป็นอุปกรณ์ที่จะมาปฏิวัติวงการก็ตาม แต่เอาเข้าจริงแล้วแท็บเล็ตเช่น iPad นั้นไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใดเลย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อปี 1993 นั้น Apple ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า Newton ซึ่งเป็นอุปกรณ์ PDA ตัวแรกของทางบริษัท แต่ทว่าเมื่อ Jobs หวนคืนสู่ Apple อีกครั้งในปี 1998 เขาก็ได้ยกเลิกโครงการดังกล่าวเสีย เนื่องจากมองว่าขายไม่ได้ อีกทั้งยังกล่าวว่า Apple จะไม่ยอมทำอุปกรณ์พกพาใดๆ อีก... จนกระทั่ง iPhone ออกมา

นอกจากนั้นเขายังได้ยกตัวอย่างกรณีของ Microsoft ที่ในช่วงยุค 90s นั้นก็ได้วางตลาดแท็บเล็ตของตนด้วยเหมือนกัน ซึ่งประสบความล้มเหลวในตลาดผู้บริโภคทั่วไปมาก อันเนื่องมาจากขนาดทีใหญ่ ราคาที่แพงเกินไป และทำอะไรไม่ค่อยได้ และถึงแม้ iPad และบรรดากองทัพโคลนที่เริ่มทยอยเปิดตัวไปแล้วนั้นอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้บ้าง แต่เขาก็แย้งว่าความต้องการแท็บเล็ตในตลาดผู้บริโภคในปัจจุบันนั้นยังเป็น ที่กังขาอยู่

นอกจากนั้นเขายังได้อ้างอิงถึงความคิดเห็นของ Sarah Rotman Epps นักวิเคราะห์จาก Forrester ที่กล่าวว่า iPad นั้นไม่ใช่อุปกรณ์ในยุคหลังพีซีเลย แต่ทว่ามันเป็นพีซีประเภทใหม่ ซึ่งจะนำพาเราเข้าสู่ยุคของ Curated Computing ที่ซึ่งทางเลือกในการใช้งานของเราจะถุูกจำกัด แต่ผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ซับซ้อนน้อยลง

อาจจะฟังดูดี แต่ McAllister ได้แย้งว่าถ้าผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตัวใหม่สักตัว มันคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถพกพาใส่กระเป๋าเสื้อและใช้คุยโทรศัพท์ได้

2. ปริมาณความต้องการพีซีนั้นเพิ่มขึ้น และไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด

ในข้อนี้ McAllister ได้แย้งคำกล่าวอ้างของ Jobs ที่ว่าผู้คนจะใช้พีซีน้อยลงในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเขาเองเห็นว่าไม่เป็นความจริงเลย ซึงถึงแม้สภาพเศรษฐกิจทีไม่ค่อยจะสู่ดีนักอาจทำให้ยอดขายของพีซีลดลงบ้างใน ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา แต่ตัวเลขยอดขายพีซีในปี 2010 นั้นกลับเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Gartner ได้คาดว่ายอดขายของพีซีทั่วโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 22% และเป็นที่น่าสนใจทีว่ายอดขายของเดสก์ท้อป (ที่ซึ่งหลายฝ่ายปรามาสว่าใกล้จะมาถึงจุดจบแล้ว) กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเครื่องแบบแล็บท้อปซะอีก โดยเขาได้อ้างอิงคำพูดของ Stephen Baker รองประธานฝ่ายวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่ NPD Group ทีกล่าวว่า 'ผู้บริโภคตามบ้านตอนนี้ต่างต้องการเครื่องเดสก์ท้อปที่มีประสิทธิภาพและทรง พลังมากขึ้น ซึ่งเป็นข่าวดีของผู้ผลิต OEM เช่น Dell และ HP'

3. คำกล่าวอ้างถึงสรรพคุณต่างๆ อาจไม่เป็นความจริงเสมอไป

ในส่วนนี้ McAllister ได้ยกกรณีตัวอย่าง Segway ซึ่งเป็นสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่ได้รับการออกแบบโดย Dean Kamen ซึ่งตอนที่เปิดตัวนั้นได้มีหลายฝ่ายอ้างว่ามันอาจมาเปลี่ยนอุตสาหรรมการขน ส่งชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง เนื่องมาจากรูปลักษณ์การออกแบบที่แปลกประหลาด และมีราคาแพงเกินไป จึงทำให้ไมได้รับความนิยม ซึ่งเขาก็ได้นำคำกล่าวอ้างเกินเลยที่มีต่อ Segway นั้นมาเปรียบเทียบกับกรณีของ iPad ที่ก็มีหลายฝ่ายอ้างว่ามันจะมาช่วยอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์บ้าง, ปฏิวัติวงการสื่อบ้าง ฯลฯ ซึ่งเขาได้กล่าวว่ายังอีกนานกว่าที่ iPad จะกลายมาเป็นเครื่องใช้ประจำบ้าน อันเนื่องมาจากอุปกรณ์อื่นเช่นโทรทัศน์, เครื่องเล่น Blu-ray, มือถือ, เครื่องเล่น MP3 และพีซีนั้นมีอิทธิพลต่อผู้ใช้งานทั่วไปมากกว่า

4. พีซีมีประสิทธิภาพต่อราคาที่คุ้มค่ากว่า

ในข้อนี้เขาได้ยกกรณีของเน็ตบุ๊กที่กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากก็เนื่องมา จากราคาที่ถูกมากของมันนั่นเอง ไม่ใช่คำกล่าวอ้างที่ว่ามันเป็นอุปกรณ์ประเภทใหม่แต่อย่างใดเลย และนับแต่นั้นเป็นต้นมามันก็ช่วยกดดันให้ผู้ผลิตต่างๆ ลดราคาโน้ตบุ๊กลงมาจนกระทั่งในปัจจุบันที่เราสามารถซื้อโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพ สูงได้ในราคาเพียง $380 (ราว 13,000 บาท) เท่านั้น ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ iPad ตัวที่ถูกที่สุดซึ่งมีราคา $499 (ราว 16,000 บาท) แล้วอาจเห็นว่า iPad นั้นค่อยข้างแพงมาก นอกจากนั้นก็ต้องไม่ลืมว่า iPad ไม่ได้ใช้ Windows หรือ Mac OS X รวมทั้งไม่รองรับ Flash ซึ่งหมายความว่าแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อแพลตฟอร์มดังกล่าวนั้นจะไม่ สามารถใช้บน iPad ได้ สุดท้ายเขาได้ย้ำว่า iPad จะกลายมาเป็นอุปกรณ์ยุคหลังพีซีได้ก็ต่อเมื่อมันกลายมาเป็นพีซีซะเอง

5.อุปกรณ์ พกพาไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่อง

ในข้อนี้เขาอ้างว่า iPad นั้นรองรับการท่องเว็บไซต์ ตลอดจนแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันได้แย่มาก จนกว่าผู้พัฒนาจะทำการออกแบบใหม่ให้สามารถแสดงผลบน iPad ได้เป็นการเฉพาะ และยังได้ยกตัวอย่างกรณีจดหมายเปิด 'Thought on Flash' ของ Jobs ที่อ้างว่า Flash นั้นเป็นสิ่งที่ล้าสมัย แต่อันที่จริงแล้ว Jobs คิดเช่นนั้นก็เนื่องจากระบบสัมผัสของ iPad นั้นไม่สามารถทำงานเข้ากันได้กับระบบ 'rollover' ของ Flash นั่นเอง

นอกจากนั้นเขายังแย้งถึงความคิดยุคหลังพีซีของ Jobs ที่ว่าผู้คนจะคุ้นเคยกับคีย์บอร์ดออนสกรีนมากกว่าปุ่มกดแบบเดิมด้วย โดยกล่าวว่าคนที่ต้องพิมพ์งานบ่อยๆ นั้นคงยากที่หันมาใช้คีย์บอร์ดแบบออนสกรีน นอกจากนั้นต้องไม่ลืมว่าผู้คนยังคงใช้อุปกรณ์อื่นๆ นอกเหนือจากคีย์บอร์ดในการติดต่อกับพีซี เช่นอุปกรณ์ควบคุมเกม เป็นต้น

6. อุปกรณ์พกพายังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานระดับองค์กรได้

โดย McAllister ได้แย้งว่าถึงแม้สมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะมีความสามารถพอเพียงในการใชงานมัลติ มีเดียต่างๆ ได้ดี แต่ทางด้านการทำงานระดับองค์กร โดยเฉพาะด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น ยังถือว่าด้อยประสิทธิภาพอยู่ โดยเขาอ้างว่ายังมีคุณสมบัติในระดับองค์กรอีกมากที่จะต้องนำไปใส่ในอุปกรณ์ พกพา เป็นต้นว่าการอ่านลายนิ้วมือ, การเข้า/ถอดรหัสข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยเป็นต้น ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งานต่อลุกค้าในกลุ่มองค์กรได้ แต่เขาก็ยอมรับว่า Blackberry นั้นอาจเป็นอุปกรณ์ที่เข้าข่ายการใช้งานในระดับองค์กรได้อันเนื่องมาจาก คุณสมบัติเฉพาะตัวที่โดดเด่น แต่ในปัจจุบันก็ยังมีอุปกรณ์พกพาน้อยมากที่มีคุณสมบัติด้านการรักษาความ ปลอดภัยเทียบเท่า Windows ของพีซี นอกจากนั้นระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพามักจะไม่ค่อยได้รับการอัพเด ตประสิทธิภาพด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอด้วย และนั่นอาจเป็นเหตุผลให้ในตอนนี้บราวเซอร์บนมือถือนั้นกำลังตกเป็นเป้าของ อาชญากรรมบนโลกไซเบอร์อยู่

นอกจากนั้น ถึงแม้ Apple จะอ้างว่าได้เพิ่มคุณสมบัติการใช้งานระดับองค์กรเข้ามามากขึ้นบน iOS4 แต่ McAllister ก็แย้งว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และสุดท้ายเขาได้อ้างถึง NPD Group ที่่ว่าลูกค้ากลุ่มองค์กรทั้งเล็กและใหญ่นั้นต่างมีความต้องการเครื่อง คอมพิวเตอร์มากขึ้นในปีนี้

7. บริการบนคลาวด์ยังไม่มีความแน่นอนเพียงพอ

เนื่องจากอุปกรณ์พกพาเช่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนั้นต่างมีประสิทธิภาพในการ ประมวลผลที่ค่อนข้างน้อย ซึ่งหมายความว่าตัวเครื่องต้องพึงการประมวลผลบนคลาวด์เป็นหลัก แต่ McAllister ก็ได้แย้งว่าบริการดังกล่าวยังไม่มีความแน่นอนพอ อีกทั้งยังมีข้อติติงอยู่อีกมาก โดยเขาได้ยกตัวอย่างปัญหามากมายที่ผู้ให้บริการดังกล่าวต้องประสบ ไม่ว่าจะเป็นกับ Google เองที่เคยประสบปัญหาผู้ใช้บริการคลาวด์มากเกินที่ระบบจะรับไหว หรือกับเน็ตเวิร์คของ RIM ซึ่งเมื่อปี 2008 นั้นได้เกิดปัญหาระบบล่มทั่วอเมริกาเหนือ เป็นต้น

8. ระบบคลาวด์ไม่ได้ทำงานครอบจักรวาล

ในข้อนี้ McAllister ได้แย้งว่ายังมีการทำงานอื่นอีกมากที่ระบบคลาวด์ยังไม่สามารถตอบสนองได้มี เพียงพอ เช่นการเล่นเกมสามมิติหนักๆ หรือการใช้งานโปรแกรมประเภทตัดต่อภาพยนตร์ หรือทำงานกราฟิกเป็นต้น โดยเขาได้ยกตัวอย่างการแข่งขันการพัฒนาซีพียูเดสก์ท้อประหว่าง Intel และ AMD ในปัจจุบันว่ายังไม่ลดลงเลย อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าเกมเมอร์นั้นเป็นตัวอย่างของผู้บริโภคที่ยอมจ่ายเงิน เป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่สุดยอดที่สุด ซึงก็มีแต่พีซีเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการได้

9. ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาและเดสก์ท้อปนั้นไม่สามารถใช้ร่วมกันได้

ในกรณีนี้เขากล่าวว่าการออกแบบอุปกรณ์พกพาในยุคหลังพีซีนั้นก็ยากพอแล้ว เนื่องจากมันต้องสามารถใช้งานแทนพีซีได้ แต่การออกแบบระบบปฏิบัติการให้กับอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นกลับยากยิ่งกว่า เพราะผู้พัฒนาต้องไม่เเพียงแค่ย่อส่วนระบบปฏิบัติการของพีซีลงมาเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่จากศูนย์เลยทีเดียว

นอกจากนั้นมันยังยากที่จะตัดสินใจว่าจะตัดหรือเพิ่มคุณสมบัติตรงจุดไหนในการ พัฒนาระบบปฏิบัติการแบบพกพา โดยเขาได้ยกตัวอย่างกรณีของ Microsoft ที่ในตอนนี้กำลังพัฒนาระบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาไม่ต่ำกว่า 5 เวอร์ชั่นด้วยกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหลายกลุ่ม ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการออกแบบระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาแบบ ครอบจักรวาลนั้นมันยากขนาดไหน ซึ่งคงต้องดูต่อไปว่า iOS จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนในตลาดนี้

10. ผู้ใช้งานทั่วไปต่างคุ้นเคยกับพีซีมากกว่า

ข้อสุดท้ายนี้เขาได้กล่าวสรุปว่าพีซีในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบ สนองการใช้งานในชีวิตประจำวันของของผู้คนทั่วไปอยู่แล้ว และมันก็สามารถทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้เยี่ยมยอดเสียด้วย นอกจากนั้นผู้คนในยุคนี้ต่างเติบโตขึ้นมาจากการใช้พีซีแทบทั้งนั้น และก็มีแนวโน้มสูงมากว่าจะยังคงอยู่ไปแบบนั้น และกว่าที่อุปกรณ์ยุคหลังพีซีต่างๆ จะมาแทนที่การพีซีในปัจจุบันได้นั้นคงจะอีกนาน จนกว่ามันจะสามารถทำทุกอย่างที่พีซีในปัจจุบันสามารถทำได้

นอกจากนั้นเขายังได้ให้ความเห็นว่าเรากำลังเข้าสู่ในยุคของ 'พีซีบวก' (PC plus) มากกว่า ที่ซึ่งพีซีนั้นจะยังคงเป็นอุปกรณ์หลักสำหรับการใช้งาน แต่เราสามารถเพิ่มความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วยการใช้อุปกรณ์พกพา เช่นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต ฯลฯ เพิ่มเติม

สุดท้ายเขาได้กล่าวจบบทความอย่างน่าขันว่า จะอย่างไรก็แล้วแต่ 'ในตอนนี้เราก็ยังเห็นรถบรรทุกวิ่งเต็มถนนอยู่นี่'

ที่มา: Infoworld

เรื่อง: falcon_mach_v

ขอ ขอบคุณเครดิต http://beta.i3.in.th/content/view/3196

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เอชพี พลิกโฉมคอมเมอร์เชียล เดสก์ท็อป สู่ความล้ำสมัย เปิดตัว HP TouchSmart 9100 Business PC คอมพิวเตอร์

เอชพี นำโดย พงศ์ธวัช พิเชฐเลอมานวงศ์ (ขวาสุด) ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด พร้อมด้วย อภิรดี พหลเวช (กลาง) ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาดผลิตภัณฑ์ คอมเมอร์เชียล เดสก์ท็อป

กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในกลุ่มคอมเมอร์เชียล เดสก์ท็อป ด้วย HP TouchSmart 9100 Business PC เพื่อเติมเต็มทุกความต้องการการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อธุรกิจในระบบสัมผัส สุดอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี “มัลติทัช” รองรับการใช้งานที่ง่ายขึ้น พร้อมศักยภาพในการแข่งขันสำหรับองค์กรที่หลากหลาย
HP TouchSmart 9100 Business PC
คอมพิวเตอร์ระบบสัมผัสสุดอัจฉริยะเพื่อธุรกิจมาพร้อมกับโซลูชั่นที่สามารถ ปรับตั้งค่าให้รองรับการใช้งานเฉพาะแต่ละหน่วยงานได้อย่างตรงความต้องการ นอกจากนี้ HP TouchSmart 9100 Business PCใหม่ล่าสุดยังรองรับระบบปฏิบัติการ Windows® 7 Professional Editionเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานระบบสัมผัสก้าวล้ำไปอีกระดับนอกจากนี้ ประสิทธิภาพการใช้งานระบบสัมผัสและการติดต่อสื่อสารเต็มรูปแบบ
รวมถึงประสิทธิผล ของคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันที่ผสานความเหนือชั้นกว่าด้วยระบบ Real-time informationรองรับการใช้งานเพื่อการจัดประชุมทางไกลผ่านวิดีโอVDO Conference สมบูรณ์แบบรวมไปถึงการใช้งานระบบมัลติมีเดียที่ง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
นายพงศ์ธวัช พิเชฐเลอมานวงศ์ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนลซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “จากกระแสตอบรับอย่างดียิ่งต่อเทคโนโลยีระบบสัมผัสของเอชพีที่เปิดตัวไปก่อน หน้านี้ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของเอชพีและความมุ่งมั่นของเราที่จะ มอบเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์รวมทั้งโซลูชั่นส์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของ องค์กรได้อย่างครอบคลุมรอบด้านทั้ง 360 องศานอกจากนั้น เอชพียังได้ร่วมกับผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ในการพัฒนาแพลทฟอร์มโซลูชั่นส์ระบบ สัมผัสเพื่อต่อยอดความสำเร็จขององค์กรธุรกิจในหลากหลายรูปแบบ”สัมผัสแห่งรูป ลักษณ์โดดเด่น ประสิทธิภาพการทำงานเหนือชั้นHP TouchSmart 9100 Business PC รุ่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบอย่างลงตัว โดยหลอมรวมเอาความทันสมัยมีสไตล์ ความหรูหราสง่างามผสานเข้ากับความกะทัดรัดของตัวเครื่องตอบโจทย์คอมพิวเตอร์ เพื่อธุรกิจอย่างสร้างสรรค์นอกจากนี้ การติดตั้งสามารถทำเองได้อย่างง่ายดายรองรับการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็ว เพื่อทุกสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งHP TouchSmart 9100 Business PCมาพร้อมกับตัวเลือกหน่วยประมวลผล Intel Core 2 Duo Mobile T6570ALL (2M Cache, 2.10 GHz, 800 MHz FSB) หรือ Intel Core 2 Duo Mobile P7570ALL (3M Cache, 2.26 GHz, 1066 MHz FSB)ระบบสัมผัสขนาด 23 นิ้ว นอกจากนี้ ยังมีเว็บแคม VGA(640x480 พิกเซล)ที่มาพร้อมกับไมโครโฟนคู่ และลำโพงระบบสเตอริโอสัมผัสแห่งประสิทธิผล ก้าวล้ำ พร้อมตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจศักยภาพเหนือชั้นของ HP TouchSmart 9100 Business PCพร้อมมอบประสบการณ์การทำงานอย่างมืออาชีพในทุกแวดวงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกหน่วยงานภาครัฐ การเงินการธนาคาร เฮลธ์แคร์สถาบันการศึกษา ธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยวโดย HP TouchSmart 9100 Business PCสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพรองรับการทำงานทุกรูปแบบ อย่างครบวงจรเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานแอพพลิเคชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยน ให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละกลุ่มธุรกิจโดยคอมพิวเตอร์ระบบสัมผัสเพื่อ ธุรกิจรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับการทำงานแบบอีโคซิสเต็ม ที่ใช้แอพพลิเคชั่นแบบพิเศษอันมีลักษณะเฉพาะตามวัตถุประสงค์การใช้งานในแต่ ละกลุ่มธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็วและง่ายดาย
ราย ละเอียดผลิตภัณฑ์ HP TouchSmart 9100 Business PC
• รองรับระบบปฏิบัติการ Windows® 7 Professional 32-bit THAI
• ออปชั่น หน่วยประมวลผล Intel Core 2 Duo Mobile T6570 ALL (2M Cache, 2.10 GHz, 800 MHz FSB) หรือ Intel Core 2 Duo Mobile P7570 ALL (3M Cache, 2.26 GHz, 1066 MHz FSB)
• ชิปเซ็ท NVIDIA MCP7A-J การ์ดจอ NVIDIA N10P GF GT230 1GB MXM Graphics
• จอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 23 นิ้ว (diagonal) แบบ widescreen
• เทคโนโลยีแอลซีดี BrightView ความละเอียด 1920x1080พิกเซล อัตราส่วนภาพ16:9
• กล้องเว็บแคม แบบ VGA (640x480 พิกเซล) มาพร้อมกับไมโครโฟนคู่ และลำโพงระบบสเตอริโอ
• รองรับหน่วยความจำ 4GB PC3-10600 SODIMM Memory (2x2GB) ถึง 8GB DDR3 SDRAM
• ฮาร์ดไดรฟ์ ขนาด 500GB SATA 3.5
• HP Slim Slot Load 8X SuperMulti Drive
• รองรับการเชื่อมต่อ Integrated Gigabit Network Connection (10/100/1000NIC)
• ออปชั่น HP TouchSmart VESA Wall Mount A ALL
• รับประกัน 3 ปี รวมค่าแรง ค่าอะไหล่พร้อมบริการติดตั้งถึงสถานที่ราคาและการจัดจำหน่าย
• HP TouchSmart 9100 Business PC ราคาเริ่มต้นที่ 55,900 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ศึกโน้ตบุ๊ก 3D เริ่มระเบิดขึ้นแล้ว!

เมื่อเร็วๆ นี้ Toshiba เพิ่งจะทำการเปิดตัวโน้ตบุ๊ก 3D ภายใต้ชื่อรุ่น Satelitte A665 ไป แต่ทว่าทางบริษัทคงไม่ใช่เจ้าเดียวในตลาดที่กำลังจะลงมาเล่นตลาดโน้ตบุ๊กแบบ 3D ซะแล้ว

Toshiba Satelittle A665

โดยโน้ตบุ๊กของ Toshiba รุ่นดังกล่าวนั้นนอกจากจะมาพร้อมกับไดร์ฟแบบ Blu-ray แล้วยังมาพร้อมกับชิพ Geforce GTS 350M และซีพียู Core i7 แบบสี่แกนที่มีความเร็ว 1.73Ghz แรม 4GB และแบตเตอรี่ชนิด 12 cells ซึ่งนับว่าสูงมากเลยทีเดียว นอกจากนั้นตัวเครื่องยังนำเทคโนโลยีอัพสเกลที่ใช้ในโทรทัศน์ของตนมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Lenovo นั้นก็ได้ออกตัว ideaPad Y560d มาเมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ซึ่งมาพร้อมกับซีพียู Core i7 สี่แกนความเร็ว 1.6GHz และเทคโนโลยี TriDef 3D ที่เสริมทัพด้วยความแรงของชิพ ATI Mobility Radeon HD5730, นอกจากนั้นก็ยังมีหน้าจอทีรองรับเทคโนโลยี 3D ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 1366x768 ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมภาพแบบ 3D ได้อย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว

Lenovo ideaPad Y560d

เท่านั้นยังไม่พอครับทาง Lenovo ยังจะออกโน้ตบุ๊กในซีรีย์เดียวกันมาอีกหลายรุ่น เริ่มจากซีพียูแบบ Core i3 ไปจนถึง Core i7 ความเร็ว 1.86GHz นอกจากนั้นยังมีฮาร์ดดิสก์ขนาด 500GB และแรม 4GB แต่ทว่าโน้ตบุ๊กรุ่นรองๆ ลงมานั้นจะไม่มีไดร์ฟ Blu-ray มาให้ด้วย แต่จะมีตัวเลือกที่เรียกว่า 'RapidDrive' ซึ่งประกอบไปด้วยฮาร์ดดิสก์ SSD ขนาด 64GB จับประกบคู่กับฮาร์ดดิสก์จานแม่เหล็กขนาด 750GB ซึ่งจะช่วยให้ความเร็วในการโหลดเกมและโปรแกรมต่างๆ นั้นเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าทาง Lenovo นั้นตัดสินใจใช้ชิพของ ATI ในขณะที่ทาง Toshiba ใช้ชิพ NVIDIA ที่รองรับเทคโนโลยี 3D Vision อันเป็นที่นิยมสำหรับเกมแบบสามมิติมากกว่า แต่ก็คงต้องดูกันต่อไปว่าชิพ ATI พร้อมกับ TriDef 3D นั้นจะให้ประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าของ NVIDIA ได้หรือไม่

โน้ตบุ๊กทั้งคู่นั้นมาพร้อมกับระบบไร้สาย 802.11n และเว็บแคม แต่ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าตัวของ Lenovo ที่่มีราคาขาย $1500 (ราว 49,000 บาท) นั้นจะมาพร้อมกับแว่นตาสามมิติด้วยหรือไม่ แต่ตัวของ Toshiba ซึ่งมีราคาที่ $1600 (ราว 53,000 บาท) นั้นมาพร้อมกับชุดแว่นตาสามมิติของ NVIDIA

ที่มา: Neowin

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะลึง!!! โน้ตบุ๊คราคาแค่ 1,300 บาท

หากคุณเคยเดินเข้าไปในแผนกขายของเล่นภายในห้างสรรพสินค้า คุณน่าจะเคยเห็นของเล่นที่มีลักษณะคล้ายโน้ตบุ๊ค ตัวเครื่องมีหน้าจอและคีย์บอร์ดที่สามารถเปิดขึ้นมาเล่นเกมส์ง่ายๆ ได้ พร้อมสวิทช์เปิดปิด ซึ่งจะว่าไปห่างชั้นกับคอมพิวเตอร์จริงๆ มาก แต่ราคาของมันกลับไม่ถูกอย่างที่คิดทั้งๆ ที่เป็นของเล่นแท้ๆ ล่าสุดมีบริษัทในฮ่องกงเปิดขายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในอีเบย์ที่มีราคาเพียง 40 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,300 บาทเท่านั้น...อุ๊ปส์

สำหรับโน้ตบุ๊คที่มีราคา 40 เหรียญฯนี้ ไม่ใช่ของเล่นที่พูดถึงข้างต้น แต่เป็นคอมพิวเตอร์จริงๆ ที่สามารถใช้งานได้ โดยตัวเครื่องทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows CE โพรเซสเซอร์ ARM VIA 300MHz หน่วยความจำ 128KB พร้อมสตอเรจ 2GB หน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 800 x 480 พิกเซล แถมยังมีลำโพงคู่อยู่ด้านข้างของหน้าจอให้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อ Ethernet และ USB อีก 2 พอร์ต (ของถูกอย่างนี้ยังมีเลย แต่ iPad กลับไม่มีซะงั้น) เชื่อมต่อเน็ตไร้สาย Wi-Fi และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD

ไม่น่าเชื่อว่า คุณสมบัติทั้งหมดนี้จะรวมกันออกมา เพื่อจำหน่ายได้ในราคาแค่ 40 เหรียญฯเท่านั้น ประเด็นคือ มันจะทนทานแค่ไหน และประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อต่างๆ แบตเตอรี่ได้คุณภาพ หรือไม่? ตลอดจนแอพพลิเคชันที่ใช้งานได้จะมีอะไรบ้าง ประเด็นเหล่านี้คงต้องการคำตอบอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม มันได้พิสูจน์ว่า โน้ตบุ๊คที่มีราคาแค่ 40 เหรียญฯเป็นไปได้ แต่ทำไม OLPC ทำให้ราคาต่ำกว่า 100 เหรียญฯ ไม่ได้สักที

ข้อมูลจาก: Ebay

ฮาร์ดดิสก์ 3TB ตัวแรกของโลกมาแล้ว!!!

"FreeAgent GoFlex ฮาร์ดดิสก์ภายนอกความจุ 3TB จะทำให้ผู้ที่เสพติดคอนเท็นต์ดิจิตอลสามารถจัดเก็บภาพยนต์ไฮเดฟได้มากกว่า 120 เรื่อง วิดีโอเกมส์ 1,500 เกมส์ ภาพถ่ายดิจิตอลเป็นพันๆ ภาพ รวมถึงเพลงดิจิตอลที่สามารถฟังได้หลายชั่วโมง" Dave Mosley ตัวแทนบริษัทซีเกท กล่าว "รายงานจาก Parks Associates ระบุว่า สตอเรจทีใช้จัดเก็บสื่อดิจิตอล(สำหรับบุคคลทั่วไป)จะมีขนาดถึง 900GB ภายในสิ้นปี 2009 ซึ่งเป็นผลมาจากการดาวน์โหลดวิดีโอ การจัดการก็อปปี้ของไฟล์ Blu-ray Disc และความสามารถในการบันทึกวิดีโอด้วย DVR ที่เพิ่มขึ้น"

นั่นคือเหตุผลว่า ทำไม GoFlex Desk external drive ถึงได้นำเสนอสตอเรจความจุสูง แถมยังสามารถแบ็คอัพข้อมูลได้ต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังม่ีซอฟต์แวร์ช่วยเข้ารหัสไฟล์เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย ฮาร์ดดิสก์ภายนอกรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับอะแดปเตอร์ USB 2.0 ทีสามารถอัพเกรดเป็น USB 3.0 หรือ FireWire 800 เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเป็น 10 เท่าได้ GoFlex Desk สามารถใช้งานได้กับระบบปฎิบัติการ Windows 7 และ OS X ร่วมกับไดรเวอร์ NTFS สำหรับ Mac ซึ่งทำให้ไดรฟ์สามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ได้จากทั้งคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows และ OS X โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปแบบ(reformat) "เมื่อไดรเวอร์ NTFS ได้รับการติดตั้งเข้าไปในเครื่อง Mac ผู้ใช้ก็จะสามารถอ่าน และเขียนไฟล์บนไดรฟ์ (GoFlex) ที่ฟอร์แมตโดย Windows ได้ทันที" Mosley กล่าวทิ้งท้าย สนนราคาอยู่ที่ 250 เหรียญฯ (ประมาณ 8,200 บาท)

ช้อมูล จาก: theregister